การเกิดสถานการณ์ฉุกเฉิน เช่น เหตุการณ์ไฟไหม้ มักนำมาซึ่งความตื่นตระหนก (panic) ซึ่งเป็นปฏิกิริยาทางจิตวิทยาที่เกิดขึ้น เมื่อมนุษย์เผชิญหน้ากับภัยคุกคามที่ไม่สามารถควบคุมได้ในทันที การทำความเข้าใจจิตวิทยาของผู้ประสบภัย และการจัดการความตื่นตระหนก เป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดอันตรายเพิ่มเติม และส่งเสริมการตอบสนองอย่างมีประสิทธิภาพในสถานการณ์ฉุกเฉิน
ความตื่นตระหนก: ปฏิกิริยาพื้นฐานของมนุษย์
นิยามของความตื่นตระหนก
ความตื่นตระหนก คือ สภาวะที่บุคคลแสดงปฏิกิริยาตอบสนองทางอารมณ์อย่างรุนแรง เช่น ความกลัว ความวิตกกังวล และความสับสน ในสถานการณ์ที่รับรู้ว่ามีภัยคุกคาม (Drury et al., 2009) ความตื่นตระหนกสามารถเกิดขึ้นได้ทั้งในระดับบุคคลและกลุ่ม เช่น การหนีไฟในอาคารสูงหรือเหตุการณ์สาธารณะ
รูปแบบปฏิกิริยาในสถานการณ์ฉุกเฉิน
เมื่อเผชิญหน้ากับอันตราย บุคคลมักตอบสนองด้วยปฏิกิริยา “Fight, Flight, or Freeze” (Cannon, 1932):
- Fight: การพยายามต่อสู้หรือเผชิญกับสถานการณ์
- Flight: การหลีกเลี่ยงหรือหลบหนี
- Freeze: การหยุดนิ่งและไม่ตอบสนอง
ความแตกต่างในปฏิกิริยานี้ขึ้นอยู่กับประสบการณ์ส่วนตัว ความรู้เกี่ยวกับสถานการณ์ และทางสังคม
สาเหตุของความตื่นตระหนกในเหตุการณ์ไฟไหม้
1. การรับรู้ถึงภัยคุกคาม การมองเห็นเปลวไฟ ควัน หรือการได้ยินสัญญาณเตือนภัยมักกระตุ้นให้บุคคลรับรู้ถึงอันตราย (Proulx, 2001) หากบุคคลเชื่อว่าไม่มีทางหนีหรือได้รับข้อมูลที่ไม่ชัดเจน ความตื่นตระหนกจะทวีความรุนแรง
2. การขาดข้อมูลและการสื่อสาร ในสถานการณ์ไฟไหม้ ข้อมูลที่ไม่เพียงพอหรือขัดแย้งกันอาจเพิ่มความสับสน (Mawson, 2005) ตัวอย่างเช่น การประกาศที่ไม่ชัดเจนเกี่ยวกับเส้นทางหนีไฟอาจทำให้ผู้คนเกิดความลังเลและเพิ่มความเสี่ยง
3. ผลกระทบจากพฤติกรรมกลุ่ม การกระทำของกลุ่มสามารถกระตุ้นหรือระงับความตื่นตระหนกได้ หากกลุ่มแสดงพฤติกรรมที่ไม่เป็นระเบียบ เช่น การแย่งกันหนี อาจเพิ่มความตื่นตระหนกในหมู่บุคคล (Drury et al., 2009)
วิธีการจัดการความตื่นตระหนกในสถานการณ์ฉุกเฉิน
1. เตรียมพร้อมและการฝึกซ้อม การเตรียมพร้อมล่วงหน้า เช่น การฝึกซ้อมอพยพ (Evacuation Drill) สามารถช่วยลดความตื่นตระหนกได้อย่างมีนัยสำคัญ (Proulx, 2001) การฝึกซ้อมช่วยสร้างความคุ้นเคยกับเส้นทางหนีไฟและกระบวนการตอบสนอง
2. สื่อสารอย่างมีประสิทธิภาพ การสื่อสารในสถานการณ์ฉุกเฉินควรมีความชัดเจน กระชับ และตรงประเด็น (Mawson, 2005) ตัวอย่างเช่น การใช้เสียงตามสายเพื่อแนะนำเส้นทางหนีไฟอย่างชัดเจน หรือการแสดงแสงไฟนำทางในกรณีที่เกิดไฟฟ้าดับ
3. สร้างความไว้วางใจในผู้นำ ในสถานการณ์ฉุกเฉิน ผู้นำที่สงบนิ่งและให้คำแนะนำที่ชัดเจนสามารถช่วยลดความตื่นตระหนกในกลุ่มได้ (Drury et al., 2009) การมีผู้นำที่ได้รับการฝึกอบรม เช่น เจ้าหน้าที่ความปลอดภัยหรือทีมดับเพลิงในสถานประกอบการ จะช่วยให้การจัดการสถานการณ์เป็นไปอย่างราบรื่น
บทบาทของเทคโนโลยีในการจัดการความตื่นตระหนก
- ระบบแจ้งเตือนอัตโนมัติ ระบบเตือนภัยที่ทันสมัย เช่น สัญญาณเตือนไฟไหม้แบบอัจฉริยะ (Smart Fire Alarm) ช่วยลดเวลาตอบสนองและเพิ่มประสิทธิภาพในการอพยพ (NFPA, 2023) การเชื่อมต่อกับแอปพลิเคชันมือถือ ช่วยส่งข้อมูลที่ชัดเจนให้แก่ผู้ประสบภัย
กรณีศึกษาการจัดการความตื่นตระหนกในเหตุการณ์จริง
1. เหตุการณ์ไฟไหม้ที่โรงงานผลิตเม็ดพลาสติก (2021) ในเหตุการณ์นี้ การขาดข้อมูลและการสื่อสารทำให้ผู้คนตื่นตระหนก และเกิดความโกลาหลระหว่างการอพยพ บางส่วนได้รับการช่วยเหลืออย่างปลอดภัย เนื่องจากมีผู้นำที่ให้คำแนะนำอย่างชัดเจน
2. เหตุการณ์ไฟไหม้ Grenfell Tower (2017) การวิเคราะห์เหตุการณ์นี้พบว่าความล่าช้าในการแจ้งเตือน และคำแนะนำที่ขัดแย้งกันจากเจ้าหน้าที่ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตจำนวนมาก (Moore-Bick, 2019) สามารถปรับปรุงระบบแจ้งเตือนและการฝึกซ้อมอพยพ สามารถลดความเสียหายในอนาคต
ข้อเสนอแนะสำหรับการปรับปรุงการจัดการสถานการณ์ ไฟไหม้
1. จัดอบรมให้ความรู้ การจัดอบรมความปลอดภัยเกี่ยวกับการอพยพและการดับเพลิงเบื้องต้น สามารถช่วยให้บุคคลทั่วไปมีความมั่นใจและตอบสนองได้อย่างเหมาะสม
2. ติดตั้งระบบแจ้งเตือนภัย องค์กรควรลงทุนในระบบแจ้งเตือนภัยที่ทันสมัย และตรวจสอบระบบเหล่านี้อย่างสม่ำเสมอ
3. สนับสนุนทางจิตใจหลังเหตุการณ์ หลังเหตุการณ์ฉุกเฉิน ควรมีการให้คำปรึกษาด้านจิตวิทยาแก่ผู้ประสบภัย เพื่อฟื้นฟูสภาพจิตใจและลดผลกระทบระยะยาว
สำหรับผู้ที่สนใจคอร์สอบรมดับเพลิงขั้นต้น และอพยพหนีไฟ เราพร้อมจัดอบรมทั้งในพื้นที่กรุงเทพ และต่างจังหวัด ผู้เข้าอบรมจะได้ทดลองปฏิบัติจริงทุกคน และจะได้วุฒิบัตรเมื่อผ่านการอบรม สมัครวันนี้ลด 40%
ติดต่อสอบถาม : [email protected] / เบอร์ : (064) 958 7451
สรุป
การจัดการความตื่นตระหนกในสถานการณ์ฉุกเฉินต้องอาศัยการเตรียมพร้อมที่ดี การสื่อสารที่มีประสิทธิภาพ และการใช้เทคโนโลยีที่เหมาะสม การสร้างความเข้าใจในจิตวิทยาของผู้ประสบภัยสามารถช่วยลดความเสี่ยงและเพิ่มโอกาสรอดชีวิตในเหตุการณ์ฉุกเฉินได้อย่างมีนัยสำคัญ
เอกสารอ้างอิง
- Cannon, W. B. (1932). The Wisdom of the Body. Norton.
- Drury, J., Cocking, C., & Reicher, S. (2009). The nature of collective resilience: Survivor reactions to the 2005 London bombings. International Journal of Mass Emergencies and Disasters, 27(1), 66-95.
- Mawson, A. R. (2005). Understanding mass panic and other collective responses to threat and disaster. Psychiatry: Interpersonal and Biological Processes, 68(2), 95-113.
- Proulx, G. (2001). Occupant behavior and evacuation. National Research Council Canada.
- Moore-Bick, M. (2019). Grenfell Tower Inquiry: Phase 1 Report. UK Government.
- NFPA. (2023). Standards for fire alarms and emergency signaling. National Fire Protection Association.
- Smith, K., Jones, R., & Taylor, L. (2020). Virtual Reality for Emergency Response Training. Journal of Safety Research, 72, 45-53.
บทความที่น่าสนใจ
- ถังดับเพลิงมีกี่สี แต่ละสีบ่งบอกอะไรบ้าง
- หลักสูตรฝึกอบรมดับเพลิงขั้นต้น เรียนอะไรบ้าง
- Fire Triangle เข้าใจองค์ประกอบของไฟ มีอะไรบ้าง